ยุคสมัยของจิตรกรรมฝาผนัง
จิตรกรรมฝาผนังที่เขียนขึ้นโดยจิตรกรในประเทศไทย เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยศรีวิชัย สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ การเขียนจิตรกรรมมีวิวัฒนาการมาโดยตลอด จากความเรียบง่ายมาเป็นความสลับซับซ้อนของภาพ ซึ่งต้องอาศัยฝีมือของจิตรกรอย่างมาก
จิตรกรรมที่ปรากฏในวัดต่างๆมีหลายประเภทเช่นเรื่องราวจากชาดก พุทธประวัติ พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา วิถีชีวิต ไตรภูมิ และวัฒนธรรมประเพณี จะเขียนไว้ตามฝาผนังพระอุโบสถ พระวิหาร หรือภายในองค์พระเจดีย์เป็นต้น มีลักษณะพิเศษในการจัดวางภาพแบบเล่าเรื่อง เป็นตอนๆตามผนังช่องหน้าต่างโดยรอบพระอุโบสถและวิหาร ผนังด้านหน้าพระประธานส่วนใหญ่นิยมเขียนภาพพุทธประวัติตอนมารผจญและผนังด้าน หลังพระประธานเขียนภาพพุทธประวัติตอนเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และบางแห่ง เขียนภาพไตรภูมิ(ประเสริฐ ศีลรัตนา, สุนทรียะทางทัศนศิลป์, กรุงเทพ ฯ

พระมหาอำพลได้สรุปงานจิตรกรรมไว้ว่า “จิตรกรรมฝาผนังที่จิตรกรไทยในสมัยโบราณได้สร้างสรรค์ไว้ตามผนังโบสถ์และ วิหารของวัดต่างๆในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวในพระพุทธศาสนาเช่นเรื่องราวพุทธประวัติ ประวัติพระสาวกไตรภูมิกถา บาลีชาดก ซึ่งถือว่าเป็นวรรณกรรมอันทรงคุณค่าในทางพระพุทธศาสนา และเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจให้จิตรกรไทยใช้สร้างงาน จิตรกรรมฝาผนังไว้ตามวัดต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (พระมหาอำพล บุดดาสาร,การศึกษาวิเคราะห์พุทธปรัชญาและพุทธศิลป์จากภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่า เรื่องบาลีชาดกวัดเครือวัลย์วรวิหาร,วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพุทธศาสนศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2546)
จิตรกรรมไทยในปัจจุบันมีหลายรูปแบบเช่นจิตรกรรมไทยประเพณี มีลักษณะเป็นแบบอุดมคติ คุณค่าอยู่ที่รูปแบบอันได้สัดส่วนสวยงาม อาภรณ์อันวิจิตร การตัดเส้นที่ละเอียดประณีต มีการจัดองค์ประกอบภาพอย่างมีระเบียบแบบแผน ซึ่งเกิดจากความพากเพียรและพลังแห่งความบันดาลใจ มีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา นิยมวาดบนฝาผนังโบสถ์ วิหาร ศาลา และสมุดข่อย สร้างขึ้นเพื่อสื่อความหมายเกี่ยวกับเรื่องศาสนา ความเชื่อ (มัย ตติยะ,สุนทรียภาพทางทัศนศิลป, กรุงเทพฯ:วาดศิลป์,2547, หน้า199)
การสร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยในสมัยต่างๆ
สมัยสุโขทัย:รุ่งอรุณแห่งความสุข
คำว่า “สุโขทัย” แปลว่า “รุ่งอรุณแห่งความสุข” หมายถึง เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตไทยที่เปี่ยมสุข เนื่องจากสุโขทัยเป็นราชธานีของไทยแห่งแรกในยุคประวัติศาสตร์ไทย มีการปกครองแบบ “พ่อปกครองลูก” ที่มีความร่มเย็นเป็นสุข มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ดังคำกล่าวว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว “ จึงนับว่าเป็นนิมิตรหมายอันดีในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมที่มีคุณค่าต่อตน เองและสังคมส่วนรวมได้การปฏิรูปจิตรกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์
สมัยสุโขทัย:รุ่งอรุณแห่งความสุข
คำว่า “สุโขทัย” แปลว่า “รุ่งอรุณแห่งความสุข” หมายถึง เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตไทยที่เปี่ยมสุข เนื่องจากสุโขทัยเป็นราชธานีของไทยแห่งแรกในยุคประวัติศาสตร์ไทย มีการปกครองแบบ “พ่อปกครองลูก” ที่มีความร่มเย็นเป็นสุข มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ดังคำกล่าวว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว “ จึงนับว่าเป็นนิมิตรหมายอันดีในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมที่มีคุณค่าต่อตน เองและสังคมส่วนรวมได้การปฏิรูปจิตรกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์
ลายกนกอยุธยา
ศิลปะอยุธยามีระยะเวลาสร้างสรรค์ที่ยาวนานถึง 417 ปี (พ.ศ. 1993-2310) และแผ่ความเจริญมาครองคลุมในภาคกลางของประเทศไทย มีงานจิตรกรรมที่นิยมเขียนลวดลายกระหนกที่มีความอ่อนช้อยงดงาม ทั้งกระหนกเปลว และกระหนกก้านขด และมีการประดิษฐ์ลายเครือเถาทั้งลายดอกพุดตาน ลายดอกบัว และผักกูด ลายรดน้ำที่มีชื่อเสียง และงดงามที่สุด คือลายบานประตูตู้พระธรรม วัดเชิงหวายสำหรับจิตรกรรมฝาผนังนิยมเขียนด้วยสีฝุ่นด้วยเทคนิคปูนแห้ง แสดงถึงเรื่องราวตามความศรัทธาเชื่อถือทางพระพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์ เขียนเป็นภาพทิวทัศน์ที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ และธรรมชาติสภาพแวดล้อมที่เป็นบ้านเรือน แม่น้ำลำคลองในยุคสมัยนั้น ซึ่งจะมีคุณค่าอย่างสูงทั้งทางด้านความงาม ศิลปวัฒนธรรม และคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่แผงอยู่ในงานจิตรกรรม จึงมีการใช้สีเพิ่มขึ้นจากสมัยสุโขทัยอีกหลายสี เช่น สีเขียว สีม่วง และสีฟ้า เป็นต้น

ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ยังหลงเหลือให้เราได้เห็น ความวิจิตรสวยงามนั้นเป็นสกุลช่างของ กรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ จิตรกรรมฝาผนังในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นนั้น ปรากฏว่าถูกทำลายลงไปเสียมาก
จิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม และสมบูรณ์ที่ยังหลงเหลือให้เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนมากอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งจิตรกรในสมัยต้นรัตนโกสินทร์นี้ เข้าใจว่าคงจะมีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยานั่นเอง หลังจากเสียกรุงแก่ข้าศึกแล้ว ก็คงดำเนินงานตามแบบที่ตนถนัดต่อมาในต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ข้อมูลจากหนังสือ พุทธประวัติจากจิตรกรรมฝาผนังไทย
จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ผลงานจิตรกรรมฝาผนังในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นถือว่าจิตรกรรมแบบประเพณี ไทยได้พัฒนามาถึงขันที่สมบูรณ์สูงสุด สอดคล้องกับความจริงว่าจิตรกรรมที่เขียนในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่ง เหล้าเจ้าอยู่หัวมีตัวอย่างมากแห่ง จิตรกรรมที่วาดตามแบบอย่างประเพณีไทยมีสามแบบคือ (1) ผนังระหว่างช่องหน้าต่าง วาดภาพพุทธประวัติเรียงกันไปจนรอบผนังทั้งสี่ด้าน เหนือช่องหน้าต่างขึ้นไปแบ่งเป็นแถว ๆ วาดภาพเทพชุมนุม เหนือขึ้นไปเป็นภาพฤาษีหรือนักสิทธิ์เหาะลอยอยู่ในอากาศเสมือนมานมัสการพระ พุทธรูปที่เป็นประธานของอุโบสถ หรือพระที่นั่ง การจัดวางภาพลักษณะนี้ปรากฎที่ผนังพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ (2) ผนังช่องหน้าต่างวาดภาพเกี่ยวกับทศชาติชาดกได้แก่เตมิยราชชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสถชาดก ภุริทัตชาดก จันทกุมารชาดก (3) การวางตำแหน่งภาพไม่เป็นระบบระเบียบตายตัวเหมือนสองแบบแรก แต่จะวาดตามผนังทั้งสี่ด้านและด้านเสาเป็นเรื่องต่างๆกันไปจนเต็มผนังเช่น ผนังวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวนารามกรุงรัตนโกสินทร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2325 นับจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 200 กว่าปีแล้ว ผลงานจิตรกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากจิตรกรรมอยุธยาคือการเขียนภาพลายรดน้ำซึ่งใช้สำหรับ ตกแต่งบานประตู หน้าต่างในวัดวาอาราม มีการสร้างสรรค์อย่างแพร่หลาย ในสมัยนี้ แต่คุณค่าทางด้านฝีมือยังด้อยกว่าสมัยอยุธยา ในเรื่องความรู้สึกพลิ้วไหวและความมีชีวิตชีวา
นอกจากนี้ งานประดับมุขก็เป็นงานประณีตศิลป์ ที่ได้รับอิทธิพลตกทอดมาจากสมัยอยุธยา เช่นเดียวกัน และฝีมือประณีตไม่แพ้กัน ซึ่งสามารถหาดูได้ที่บานประตูโบสถ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดราชบพิธ สถิตมหาสีมาราม และพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ทางด้านงานจิตรกรรมฝาผนังได้มีวิวัฒนาการมาตามลำดับจากสมัยอยุธยา จนถึงสมัย รัตนโกสินทร์ มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังกันมาก และมีการพัฒนาฝีมือถึงขั้นเรียกว่า เจริญสูงสุด (Classic) งานจิตรกรรมไทยที่รักษารูปแบบ และสีสันเป็นภาพสองมิติ และแสดงฝีมือการตัดเส้นที่งดงามแบบดั้งเดิมที่เรียกกันว่า “จิตรกรรมไทยประเพณี” ช่างเขียนฝีมือชั้นครูในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 คือ “พระอาจารย์นาค” ได้สร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยประเพณีไว้มากมาย ในปัจจุบันนี้หาดูได้ที่หอไตรของวัดระฆังโฆสิตารามวรวิหาร และยังมีงานจิตรกรรมฝาผนังของช่างเขียนแบบไทยประเพณีอีกหลายแห่ง เช่น ที่วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร วัดสุวรรณารามวรวิหาร วัดสระเกศาราชวรมหาวิหาร วัดทองธรรมชาติวรวิหาร และพระที่นั่งพุทไธสวรรย์เป็นต้น
ขรัวอินโข่งกับผลงานจิตรกรรมไทยสามมิติ
ในสมัยรัตนโกสินทร์นับเป็นยุคสมัยที่มีการปฏิรูปบ้านเมืองให้มีความเจริญทัด เทียมกับอารยประเทศ ประเทศไทยได้ติดต่อสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าอย่างเป็นทางการกับกลุ่ม ประเทศตะวันตกมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) จึงได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านจิตรกรรมไทยจากศิลปะตะวันตกที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 ) มีการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยในรูปแบบผสมผสานกับศิลปะสากลแบบตะวันตกมาก ขึ้น โดยเฉพาะช่างเขียนไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้นคือ “ขรัวอินโข่ง” เป็นจิตรกรไทยคนแรกที่เขียนภาพจิตรกรรมไทยที่มีแสงเงาและความตื้นลึกแบบ 3 มิติ ซึ่งเป็นลักษณะเหมือนจริง และยังสะท้อนภาพชีวิตของชาวยุโรปอยู่งาน จิตรกรรมไทย นับว่าเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ในงาน จิตรกรรมไทยอีกด้วย ในสมัยรัชกาลที่สี่แนวคิดในการเขียนจิตรกรรมตามประเพณีได้เปลี่ยนไป โดยจิตรกรไม่นิยมวาดภาพตามประเพณีแต่หันมาวาดภาพที่เป็นปริศธรรมและวัฒนธรรม ประเพณีแทนดังเช่นจิตรกรรมที่วัดบววรนิเวศวิหารโดยฝีมือการวาดของขรัวอิน โข่ง
ขรัวอินโข่งมีชื่อเดิมว่า “อิน” เป็นชาวเพชรบุรี เมื่อท่านบวชเป็นพระที่วัดราชบูรณะ กรุงเทพมหานคร และครองเพศบรรพชิตตลอดชีวิต ประชาชนจึงเรียกท่านจนติดปากว่า “ขรัวอินโข่ง” ซึ่งหมายถึง “พระภิกษุผู้สูงอายุ” หรือ “ภิกษุผู้ยิ่งใหญ่” ส่วนนามที่เรียกท่านเป็นทางการคือ “พระอาจารย์เดิม”ซึ่งท่านได้สร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยรับใช้เบื้องยุคคลบาท ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มตั้งแต่พระองค์ยังทรงผนวช จวบจนเสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นระยะเวลาอันยาวนาน

ในระยะแรกขรัวอินโข่งยังเขียนภาพจิตรกรรมไทยเป็นแบบดั้งเดิม คือนิยมเขียนภาพเกี่ยวกับชาดก และพระพุทธศาสนาเป็นภาพแบบ 2 มิติ เช่น ภาพยักษ์ หน้าลิง ภาพวาดที่วัดมหาสมณาราม และหอราชกรมานุสรเป็นต้น
ต่อมาท่านได้ศึกษารูปแบบงานจิตรกรรมตะวันตกจากงานภาพพิมพ์ที่แพร่หลายในหมู่ มิชชันนารี และภาพที่ส่งมาจำหน่ายในเมืองไทยในสมัยนั้น แล้วนำมาประยุกต์ใช้พัฒนางานจิตรกรรมไทยเป็นภาพทิวทัศน์แบบตะวันตกโดยใช้ตัว ละครและสถานที่แบบตะวันตก เช่น ภาพปริศนาธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหารและวัดบรมนิวาสเป็นต้น
งานจิตรกรรมไทยของขรัวอินโข่ง ถึงแม้จะนำเอาแบบอย่างวิธีการเขียนภาพจากตะวันตกมาใช้ แต่ก็ยังแสดงความเป็นอัจฉริยภาพของจิตรกรไทยที่สร้างจินตนาการจากความคิดและ ความเชื่อของไทยที่เป็นอยู่เดิม โดยเฉพาะปรัชญาทางพระพุทธศาสนา เช่น ภาพปริศนาธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหาร และภาพนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ที่วัดมหาสมณาราม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นงานชิ้นเดียวที่เขียนในจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอนของท่านเอง
วิยะดา ทองมิตร กล่าวถึงคุณค่าของผลงานของขรัวอินโข่งไว้ว่า "ขรัวอินโข่ง วาดภาพเหมือนจริง และด้วยวิธีวาดแบบทัศนียวิสัย 3 มิติ ทำให้ภาพเกิดความลึก การใช้สีแบบ monochrome ที่ประสานกลมกลืนกัน ทำให้ภาพของขรัวอินโข่งมีบรรยากาศที่ชวนฝัน ทำให้ผู้ดูเกิดจินตนาการฝันเฟื่องตามไปด้วยไม่ว่าจะเป็นภาพวาดรูปต้นไม้ใน ป่า รูปต้นไม้และโขดเขาที่เพิงผาทางด้านผนังทิศเหนือ ด้านล่างที่มณฑป พระพุทธบาทวัด พระงามนั้นถึงจะไม่มีรูปบุคคลปรากฏอยู่ด้วยเลย แต่ภาพทั้งสองนี้ก็แลดูสวยด้วยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว หรือภาพต้นสนที่เอนลู่ตามลมด้วยแรงพายุที่พัดอย่างแรงกล้านั้น ก็แลดูน่ากลัวสมจริงสมจังสัมพันธ์กับความน่ากลัวของภูตผีปีศาจที่มาขอส่วน บุญกับพระเจ้าพิมพิสาร
ภาพวาดทุกภาพของขรัวอินโข่งแสดงให้เห็นถึงความประสานกลมกลืนของสีและ บรรยากาศที่สลัว ๆ เสมือนกับทำให้ความคิดฝันที่ค่อนข้างเลือนลางนั้น ค่อย ๆ กระจ่างชัดในอารมณ์ รวมทั้งบรรยากาศที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาและแมกไม้ที่ร่มครึ้ม ทำให้จิตใจเกิดจินตนาการคล้อยไปตามภาพที่ได้เห็น…เมื่อวาดภาพชีวิตทางยุโรป ขรัวอินโข่งจึงพยายามสร้างอารมณ์และบรรยากาศเป็นประเทศเมืองหนาวโดยใช้วิธี แบบทึมๆ

จิตรกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดบรมนิวาสเป็นจิตรกรรมสมจริงแนวตะวันตกที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในกระแส ใหม่ (สันติ เล็กสุขุม,จิตรกรรมไทย สมัยรัชการที่สาม: ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม,กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ,2548,หน้า 201)
ความเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ทำให้จิตรกรรมเปลี่ยนไปด้วยดังเหตุผลที่ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรีได้สรุปไว้ว่า “ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 25 ในสมัยพระบาทสมเด้จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2411-2453) ประเทศไทยได้นำเอาอารยธรรมตะวันตกเข้ามาพัฒนาประเทศหลายประการคือการสร้าง ทางรถไฟ ถนนหนทาง โรงพยาบาล โรงเรียน การประปา การไฟฟ้า ฯลฯ เพราะว่ารายได้ของประเทศได้นำไปใช้เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ของประชาชนเป็น สำคัญ การสร้างวัดวาอารามจึงสดุดหยุดลง เป็นเหตุให้ศิลป์ตามประเพณีมิได้เป็นไปอย่างปกติเช่นสมัยก่อน (ศิลป์ พีระศรี,ศิลปวิชาการ “วิวัฒนากาแห่งจิตรกรรมฝาผนังไทย”, กรุงเทพฯ: มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี,2546,หน้า 390)
จิตรกรรมวัดบวรนิเวศวิหารจึงมิได้เขียนตามแบบประเพณีแต่ได้ประยุกต์รูปแบบ ของชาวตะวันตกเข้ามาโดยแทรกอยู่ในงานจิตรกรรมบางครั้งจึงเห็นมีการแต่งกาย แบบชาวตะวันตกในภาพด้วย จิตรกรรมวัดบวรนิเวศวิหารมีปรากฎอยู่ที่ พระอุโบสถตอนบน พระอุโบสถตอนล่าง เสาพระอุโบสถ ภายในศาลาการเปรียญ หอไตร และภายในวิหารเก๋ง ซึ่งจะได้นำเสนอต่อไปจิตรกรรมฝาผนังวัดบวรนิเวศ

จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถตอนบนเขียนเป็นภาพปริศนาธรรมมีจำนวน 16 ภาพเช่น ปริศนาธรรมช่องที่ 1 เป็นรูปหมอยากำลังเยียวยาหมู่ชนผู้มีพยาธิให้หายจากพยาธิด้วยยาที่ได้ประกอบ ไว้แล้ว ณ ภายในตึกโรงพยาบาล เบื้องหน้าตึกมีหมู่ชนผู้มีพยาธิเดินเข้าสู่ตึกเองบ้าง มีผู้อื่นช่วยนำเข้าไปบ้าง ปริศนาธรรมข้อนี้มีความหมายว่า พระพุทธเจ้าเปรียบดังหมอยาผู้ฉลาด เพราะพระองค์เป็นผู้สามารถ ในการที่จะกำจัดพยาธิคือกิเลสกับทั้งอนุสัยเสียได้ พระธรรมเปรียบดังยาที่หมอได้ประกอบไว้โดยชอบแล้ว พระสงฆ์ผู้มีอนุสัยแห่งพยาธิคือกิเลสสงบแล้ว เปรียบดังหมู่ชนมีพยาธิสงบด้วยดีเพราะประกอบยาแล้ว
จิตรกรรมในสมัยรัชกาลที่สี่ทำไมจึงเปลี่ยนแปลงจากจิตรกรรมแบบเดิมคงต้อง อาศัยบทสรุปของปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูลว่า “ในบริบทของสังคมไทยต้นรัตนโกสินทร์โดยรวมนั้น จิตรกรรมเป็นสื่อทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มีภาษาเฉพาะ และเป็นภาษาที่เอื้อและสนับสนุนการกล่าวถึงความคิดในการจัดระเบียบทางสังคม ที่มีพื้นฐานอยู่บนความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันของคนในกลุ่มต่างๆ ความคิดพื้นฐานนี้อาจจะปรากฏในสื่อทางวัฒนธรรมอื่นๆ เช่นการแสดงหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายในนาฏกรรม ดนตรี และศิลปกรรมแขนงต่างๆที่อยู่ในจารีตของราชสำนัก โดยเฉพาะสื่อทาง ศิลปกรรมต่างๆที่เกิดในโครงสร้างของสังคมเช่นเดียวกับจิตรกรรมนั้น น่าจะมีภาษาที่มีลักษณะร่วมกับจิตรกรรมอยู่ไม่น้อย หากแต่การเปรียบเทียบสื่อต่างๆเหล่านี้อย่างสมบูรณ์เป็นเรื่องที่เรายังจะ ต้องศึกษาค้นคว้าต่อไปอีก (ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล, ภาษาของจิตรกรรมไทย: การศึกษารหัสของภาพ และความหมายของสังคมวัฒนธรรมของจิตรกรรมพุทธศาสนาต้นรัตนโกสินทร์,รายงานการ วิจัยเสนอต่อสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2536.หน้า 14)
เมื่อแนวคิดในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในสมัยรัชกาลที่สี่เปลี่ยนไป จิตรกรที่เคยทำงานในสมัยรัชกาลที่สามจะทำอะไร เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าจะศึกษาค้นคว้าต่อไป จิตรกรเหล่านี้เมื่อไม่อาจเขียนภาพตามที่เคยเขียนได้ น่าจะออกมาเขียนภาพตามต่างจังหวัดนับเป็นจุดเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่งในงาน จิตรกรรมฝาผนังไทย

วัดบวรนิเวศวิหารมีจิตรกรรมร่วมสมัยที่เปลี่ยนจากรูปแบบงานจิตรกรรมในอดีต ภาพบางอย่างมีการสอดแทรกแนวคิดสมัยเข้าไป โดยมิได้ยึดติดกับธรรมเนียมในการเขียนภาพแบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในงานจิตรกรรม สมัยปัจจุบันงานจิตรกรรมมีราคาอาจขายได้ภาพละหลายแสนบาทบาท งานจิตรกรรมฝาผนังตามพระอุโบสถต่างๆเป็นงานที่ทรงคุณค่าแม้จะเป็นงานที่ รังสรรค์ขึ้นใหม่ เพราะจิตรกรมีชื่อเสียงเช่นที่วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงรายเป็นต้น
หากใครอยู่ใกล้วัดบวรนิเวศวิหารอยากสัมผัสความงามและสุนทรียทัศน์กับงาน จิตรกรรมฝาผนัง ก็เชิญแวะชมได้ ส่วนพระอุโบสถท่านจะเปิดให้ชมวันไหนนั้นต้องติดต่อสอบถามเอาเอง เพราะปัจจุบันวัดบวรนิเวศวิหารกำลังมีการซ่อมแซมปรับปรุงหลายอย่าง อาจไม่สะดวกนัก แต่ถ้ามีโอกาสควรเข้ามาเสพสุนทรียรสแห่งงานจิตรกรรมที่สื่อถึงยุคสมัยได้ อย่างยอดเยี่ยม